มารู้จักหมู่เลือด
อ.พญ.กุลวรา อนุรักษ์ภราดร
ภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
หมู่เลือดอาร์เอช (Rh blood group)
เป็นหมู่เลือดที่มีความสำคัญเช่นกัน ถูกกำหนดโดยสารแอนติเจนที่อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงคือสาร ‘ดี’ (D antigen) โดยคนที่มีสาร D อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงก็จะเป็นหมู่เลือดอาร์เอชบวก (Rh positive) ส่วนคนที่ไม่มีสาร D อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงก็จะเป็นหมู่เลือดอาร์เอชลบ (Rh negative) ซึ่งพบได้น้อยในคนไทย โดยทั่วไปหมู่เลือดอาร์เอชลบ (Rh negative) จะยังไม่มีสารต้าน D ( anti D) อยู่เดิมแต่จะถูกสร้างชึ้นเมื่อได้รับเลือดอาร์เอชบวก (Rh positive)ซึ่งมีสาร D อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงหรือตั้งครรภ์บุตรที่มีเลือดอาร์เอชบวก ซึ่งสารต้าน D จะทำให้เกิดปฏิกริยาที่รุนแรงและเป็นอันตรายได้เช่นกันเมื่อได้รับเลือดอาร์เอชบวกซึ่งหลังสร้างสารต้านไปแล้ว นอกจากนั้นในผู้หญิงที่มีหมู่เลือดอาร์เอชลบที่มีสารต้าน D แล้ว หากตั้งครรภ์บุตรที่มีเลือดอาร์เอชบวก สารต้าน D จากร่างกายแม่จะสามารถเข้าไปทำลายเม็ดเลือดแดงของเลือดลูกที่อยู่ในครรภ์ ก่อให้เกิดอันตรายต่อลูกที่อยู่ในครรภ์ได้อีกด้วย
ดังนั้นในคนที่มีหมู่เลือดอาร์เอชลบ หากมีเหตุที่จะต้องได้เลือดจึงควรจะได้เลือดหมู่อาร์เอชลบเพื่อป้องกันการสร้างสารต้าน D และหากตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่มีสารต้าน D ก็ควรจะฉีดยาป้องกันการสร้างสารต้าน D ขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด ส่วนในคนที่มีการสร้างสารต้าน D แล้วก็จะต้องได้รับเฉพาะเลือดอาร์เอชลบเท่านั้น มิฉะนั้นก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
ส่วนหมู่เลือดในระบบอื่นๆนั้นมีความสำคัญรองลงไป ไม่ได้ทำการตรวจเป็นประจำ แต่จะทำการตรวจหาสารต้านของหมู่เลือดระบบอื่นๆ (antibody screening) เฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับเลือดก่อนการให้เลือด
การตรวจหมู่เลือด
ในปัจจุบันหากท่านมาบริจาคเลือด เลือดของท่านก็จะได้รับการตรวจหมู่เลือดทั้งระบบเอบีโอและระบบอาร์เอชเพื่อเตรียมให้ผู้ป่วย และหากท่านมีหมู่เลือดชนิดพิเศษหายากท่านอาจได้รับการติดต่อจากธนาคารเลือดเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้บริจาคเลือดหมู่พิเศษซึ่งจะได้รับการติดต่อเพื่อมาบริจาคเลือดเมื่อมีผู้ป่วยที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เลือดหมู่ของท่านต่อไป
หากท่านเป็นผู้ป่วยที่จะต้องได้รับเลือด ท่านจำเป็นจะต้องได้รับการเจาะเลือดเพื่อมาตรวจที่ธนาคารเลือดเพื่อยืนยันหมู่เลือด ตรวจหาสารต้านหมู่เลือดในระบบอื่นๆและตรวจความเข้ากันได้กับเลือดที่จะได้รับ ก่อนที่จะได้รับเลือดทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยในการได้รับเลือด
หากท่านยังไม่ทราบหมู่เลือดของตนเอง ท่านสามารถรับการตรวจได้ที่โรงพยาบาลทุกแห่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวท่านเองเมื่อมีเหตุที่ต้องได้รับเลือดฉุกเฉิน
คนไทยมีหมู่เลือดRh-แค่0.3% หญิงหากตั้งครรภ์เสี่ยงแท้ง-ลูกพิการ
สภากาชาดระบุคนไทยมีหมู่เลือด Rh- เพียง 0.3% หมู่เลือดหายาก ชี้หญิงหากตั้งครรภ์ เสี่ยงแท้ง-ลูกพิการ แนะฝากครรภ์ตรวจครรภ์สม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย
น.ส.ทัศนีย์ สกุลดำรงค์พานิช รองผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวภายในงาน "รวมพล (ครอบครัว) หมู่โลหิตหายาก ประจำปี 2557" ว่า นอกจากหมู่โลหิต ระบบ A B O มีเลือดกรุ๊ป A B AB และ O แล้ว มี ระบบ Rh ด้วย แบ่งเป็น Rh positive (Rh+) และ Rh negative (Rh-) ซึ่งคนที่มีเลือดเป็น Rh+ จะมีสารแอนติเจนดี (AntigenD) อยู่ที่ผิวเม็ดเลือด ส่วนคนที่มีเลือดเป็น Rh- จะไม่มีสารดังกล่าว ทำให้คนที่มีเลือดเป็น Rh- ไม่สามารถรับการถ่ายเลือดจากคนที่เป็น Rh+ ได้เนื่องจากร่างกายจะสร้างภูมิต้านทาน (Antibody D) ขึ้นมา ทำให้รับการถ่ายเลือดได้จากคนที่เป็น Rh-ด้วยกันเท่านั้น คนไทย 99.7% จะเป็นหมู่โลหิต Rh+ มีเพียง 3 ใน 1,000 คน หรือ 0.3% ที่เป็น Rh- ทำให้ Rh-เป็นหมู่โลหิตหายากของเมืองไทย ศูนย์บริการโลหิตฯ จึงจัดตั้งชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ (Rh negative club) ปัจจุบันมีสมาชิกแค่ประมาณ 5,000 คน จาก 10 จังหวัดเท่านั้น ซึ่งจะมีการตามกลุ่มคนเหล่านี้มาบริจาคเลือดเป็นประจำทุก 3 เดือน
น.ส.ทัศนีย์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่กลุ่ม Rh- ควรรู้ โดยเฉพาะผู้หญิงคือเรื่องการตั้งครรภ์ หากภรรยามีเลือด Rh- แล้วฝ่ายสามีมีเลือด Rh+แบบ 100% ไม่มียีนแฝง ลูกในท้องจะมีหมู่เลือดเป็น Rh+ ตามพ่อ ซึ่งระหว่างการตั้งครรภ์ก็มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุจนเลือดของลูกไหลผ่านรกเข้าไปในร่างกายของแม่ได้ ทำให้ร่างกายของแม่สร้างภูมิต้านทานขึ้นมา จะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดแดงของลูก จนเกิดเป็นสารสีเหลือง โดยปกติร่างกายของแม่จะช่วยขับออกไปได้ แต่หากมีมากเกินไปจะเกาะสมองของเด็ก ทำให้เด็กพิการ นอกจากนี้ ภูมิต้านทานแม่ยิ่งมีมากก็ยิ่งเกิดโอกาสแท้งลูกและตายในครรภ์ได้ การรักษามี 2 ทางคือ 1.ถ่ายเลือดให้ลูกในครรภ์ โดยให้เลือด Rh- แก่เด็ก และ 2.คลอดก่อนกำหนด
"หากโชคดีระหว่างการตั้งครรภ์ไม่เกิดอุบัติเหตุให้เลือดของลูกเข้าไปในร่างกายของแม่แต่ระหว่างคลอดรกต้องฉีกขาดแน่นอน ทำให้เลือดของลูกเข้าไปในร่างกายของแม่ และสร้างภูมิต้านทานขึ้น หากต้องการมีลูกคนที่สองจะต้องรีบให้ยาทำลายเม็ดเลือดแดงของลูกที่เข้าไปในร่างกายแม่ภายใน 3 วัน ก่อนที่จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาจึงจะสามารถมีลูกคนที่สองได้ แต่หากร่างกายแม่มีภูมิต้านทานขึ้นมาแล้ว ไม่แนะนำให้มีลูกอีกเพราะจะเป็นอันตรายต่อเด็กในท้อง หญิงตั้งครรภ์ควรไปฝากครรภ์และตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของแม่และเด็ก" น.ส.ทัศนีย์ กล่าว
--คมชัดลึก ฉบับวันที่ 17 ก.พ. 2557 (กรอบบ่าย)--