งานธนาคารเลือด
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ผลิตภัณฑ์โลหิตและส่วนประกอบโลหิต
Our Blood Components

Blood Products & Blood Componant
โลหิตที่ได้จากการบริจาคนั้น สามารถนำมาแยกเป็นส่วนประกอบของโลหิตได้หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดนั้นมีข้อบ่งชี้ในการใช้ วิธีการเก็บรักษา ความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือข้อควรระวังในการใช้ที่แตกต่างกัน เพื่อให้การใช้โลหิตเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสมจึงได้นำเสนอรายละเอียดของส่วนประกอบโลหิต โดยอ้างอิงข้อมูลจาก หนังสือ "การใช้โลหิตและส่วนประกอบโลหิตอย่างเหมาะสม The Apprcpriace use of Blood and Blood components" ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2554 บทที่ 3 เรื่อง "โลหิตและส่วนประกอบโลหิต Blood and Blood Components" เขียนโดย นาวาโทหญิง แพทย์หญิงอุบลวัณณ์ จรูญเรืองฤทธิ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้

โลหิตรวมหรือโลหิตครบส่วน Whole bood (CPD-Adenine-1)(WB)  คือ โลหิตที่เจาะเก็บจากผู้บริจาคในถุงเก็บโลหิตที่มีสารป้องกันโลหิตแข็งตัวชนิด  CPD และสารช่วยรักษาคุณภาพโลหิตคือ adenine-1 อยู่ด้วยและยังไม่ได้แยกออกเป็นส่วนประกอบชนิดต่างๆ การบริจาค 1 ครั้งคือ 1 ถุง หรือ 1 ยูนิตประกอบด้วย

  • โลหิตผู้บริจาค มี 2 ขนาด คือ 350 ± 10% มล. และ 450± 10% มล.
  • สารกันโลหิตแข็งตัวและการรักษาคุณภาพโลหิต 49 มล. และ 63 มล. สำหรับขนาดถึงบรรจุโลหิต 350 มล. และ 450 มล. ตามลำดับ
  • ฮีโมโกลบิน ประมาณ 12 ก./กล.
  • ฮีมาโตคริต 35% - 45%
  • เกล็ดเลือดที่ไม่ function
  • ไม่มีปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิดที่คงทน (labile coagulation factors) non factors V & VIII

ความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อได้แก่

  • ซิฟิลิส มาลาเรีย HIV ไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซี ไวรัสชนิดอื่นๆเช่น cytomegalovirus (CMV) และพยาธิในเลือด เชื้อโรคดังกล่าวอาจอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด หรืออยู่ในพลาสมา

 
การเก็บรักษาในธนาคารเลือด

  • เก็บรักษาอุณหภูมิในตู้เย็นเก็บโลหิตโดยเฉพาะที่อุณหภูมิ +1 ถึง +6 °ซ. ซึ่งมีเครื่องแสดงอุณหภูมิและสัญญาณเตือนเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงที่กำหนด
  • ระหว่างการเก็บรักษาเม็ดเลือดแดงยังมี metabolism จึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบในเซลล์ รวมทั้งมีสารบางชนิดเช่น cytokines ออกจากเซลล์เม็ดเลือดขาวมาอยู่ในพลาสมาเพิ่มขึ้น
  • โลหิตออกจากตู้เย็นของธนาคารเลือดเพื่อนำไปให้ผู้ป่ายต้องให้ภายใน 30 นาที

ข้อบ่งชี้การใช้

  • เพื่อทดแทนเม็ดเลือดแดงจากการเสียโลหิตเฉียบพลันและภาวะ hypovolemia
  • การเปลี่ยนถ่ายโลหิต (exchange transfusion) ในเด็กแรกเกิด
  • ในภาวะฉุกเฉินที่จำเป็นต้องช่วยชีวิตผู้ป่วย หากแพทย์สั่งใช้เฉพาะเม็ดเลือดแดง (Red blood cells, RBC) แต่ไม่มีในธนาคารเลือดก็อาจให้ WB ได้

ข้อห้ามการใช้

  • ควรระวังในผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อภาวะ volume overload เช่น chronic anemia

วิธีการให้

  • เลือกให้ตรงตามหมู่โลหิต ABO และ Rh ของผู้ป่วยเป็นอันดับแรก
  • ต้องทำ compatibility test แล้วได้ผลลบก่อนให้
  • ใช้ชุดให้โลหิตมาตรฐานที่มีตัวกรอง fibrin และ debris
  • ห้ามใส่ยาใดๆลงในถุงโลหิต
  • ให้หมดภายในไม่เกิน 4 ชม. ต่อยูนิต

                ปัจจุบันงานธนาคารเลือด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์จึงมีการแยก WB ออกเป็นส่วนประกอบโลหิต เพื่อใช้ตามข้อบ่งชี้ซึ่งมีประโยชน์แก่ผู้ป่วย ทำให้โลหิตแต่ละยูนิตได้ใช้ประโยชน์สูงสุด จึงมีการผลิต จ่าย และใช้ WB น้อยลง ได้ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มีคุณภาพโดยเน้นที่ความปลอดภัยของผู้ป่วย ได้อย่างเป็นมาตรฐาน
ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้เองดังนี้

1)เม็ดเลือดแดงอัดแน่น Red blood cell concentrate (RBC) เดิมเรียก packed red cells
เป็นส่วนประกอบโลหิตหลังการปั่นให้เม็ดเลือดแดงตกตะกอนอัดแน่นก้นถุง และบีบพลาสมาส่วนบนบางส่วนออกไปแล้ว  1 ยูนิต ประกอบด้วยเม็ดเลือดแดงอัดแน่นปริมาตรประมาณ 150-200 มล. มีพลาสมาเหลือน้อย  มีปริมาณฮีโมโกลบินไม่น้อยกว่า 45 ก.ต่อยูนิต (สำหรับโลหิตที่เจาะเก็บปริมาตร 450 มล.) และไม่น้อยกว่า 35 ก.ต่อยูนิต(สำหรับโลหิตที่เจาะเก็บปริมาตร 350 มล.) ฮีมาโตคริตไม่เกิน 80 %
ข้อบ่งชี้ในการใช้

  • เพื่อทดแทนเม็ดเลือดแดงในผู้ป่วยโลหิตจาง
  • ให้ร่วมกับสารน้ำทดแทน เช่น crystalloid หรือ colloid ในราย acute blood loss
  • ถ้าต้องการเพิ่มความเร็วในการให้ อาจเติมน้ำเกลือ NSS 50-100 มล. ด้วยวิธีที่ปลอดเชื้อ

เม็ดเลือดแดงในสารช่วยรักษาคุณภาพโลหิต Red cell suspension, Red cell in additive solutionคือส่วนประกอบโลหิตหลังการปั่นให้เม็ดเลือดแดงตกตะกอนก้นถุงและบีบพลาสมาส่วนบนออกไปแล้ว และเติมสารเพื่อรักษาคุณภาพเพื่อยืดอายุการใช้งาน สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 42 วัน 1 ยูนิตประกอบด้วย
เม็ดเลือดแดงปริมาตรประมาณ 150-200 มล. มีพลาสมาเหลือน้อยพร้อมสาร suspension ประมาณ 100 มล. ได้แก่ normal saline, adenine, glucose, mannitol solution (SAG-M) เป็นต้น ฮีโมโกลบินประมาณ 15 ก./ดล. แต่ต้องไม่น้อยกว่า 45 ก. ต่อยูนิต ฮีมาโตคริต50% - 70%
ข้อห้ามการใช้         ถ้า additive solution ที่เติมไว้มีส่วนประกอบของน้ำตาล เช่น dextrose ในปริมาณสูง ไม่ควรใช้ exchange transfusion ในเด็กแรกเกิด

2)พลาสมาสดแช่แข็ง Fresh frozen plasma (FFP)
เป็นส่วนประกอบโลหิตมีเฉพาะพลาสมาที่ได้จากการปั่นแยก WB 1 ถุง หลังการเจาะเก็บไม่เกิน 8 ชม. แล้วแช่แข็งทันทีที่ความเย็น -20°ซ. หรือต่ำกว่า ประกอบด้วย โปรตีนที่เป็นปัจจัยในการแข็งตัวของโลหิตทุกตัว รวมทั้งสารอัลบูมินและอิมมูโนโกลบุลิน (albumin, immunoglobulin) มีระดับ factor VIII ประมาณร้อยละ 70 ของ normal fresh plasma level ปริมาตรประมาณ 200-300 มล.
การเก็บรักษา  มาตรฐาน AABB เก็บที่ ≤-18°ซ. ได้นาน 1 ปี / WHO เก็บที่ ≤-25°ซ. ได้นาน 1 ปี
ข้อบ่งชี้ในการใช้

  • ใช้ในผู้ป่วยที่ขาด multiple coagulation factors ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตออก ได้แก่โรคตับ ทำงานล้มเหลวและขาด coagulation foctors
  • Warfarin (anticoagulant) overdose
  • ผู้ป่วยที่ระดับ coagulation factors ลดลงเนื่องจากได้รับโลหิตปริมาณมากๆ
  • DIC/ TTP

ข้อควรระวัง

  • การให้ FFP ปริมาณมากๆ อย่างรวดเร็ว อาจพบปฏิกิริยาแพ้เฉียบพลัน
  •  อาจพบอาการแพ้แบบ anaphylactic อย่างรุนแรง ถึงแก่ชีวิต
  •  ภาวะ hypovolemia เพียงอย่างเดียวไมใช่ข้อบ่งชี้ในการใช้ FFP

ปริมาณการให้  ขนาดการรักษา 15 มล./กก. เท่ากับ 1 therapeutic dose ในการให้ FFP แต่ละครั้ง
วิธีการให้    

  • ละลายในอ่างน้ำอุ่นอุณหภูมิ 30-37 °ซ. หากไม่ควบคุมอุณหภูมิจะทำลายสารโปรตีนและ coagulation factors จึงควรละลายที่ห้องปฏิบัติการธนาคารเลือดก่อนจ่ายให้หอผู้ป่วย หลังการละลายเมื่ออยู่ที่อุณหภูมิห้อง labile coagulation factors จะลดลงเมื่อละลายหมดแล้วต้องห้ผู้ป่วยทันที
  • หากละลายแล้วยังไม่ใช้ทันทีอาจเก็บที่อุณหภูมิ +2 ถึง +6°ซ. ได้ 24 ชม.
  • ต้องให้ตามหมู่โลหิต ABO หากไม่มี สามารถพิจารณาให้ ABO compatible กับ RBC ของผู้ป่วยได้
  • ไม่จำเป็นต้องทำ compatibility test ก่อนให้ แต่ต้องมีการตรวจยืนยันหมู่เลือด ABO เป็นอย่างดีทั้งผู้ป่วยและโลหิตบริจาค รวมทั้งต้องตรวจกรอง antibody ในพลาสมาที่จะใช้ทุกยูนิตว่าได้ผล negative ก่อนใช้
  • ใช้ชุดให้โลหิตมาตรฐาน

หมายเหตุ พลาสมาที่แยกออกจากโลหิตรวมหลังการเจาะเก็บนานกว่า  8 ชั่วโมงจะมีปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดบางตัวลดลง เช่น factor V และ VIII

3) เม็ดเลือดแดงเข้มข้นลดจำนวนเม็ดเลือดขาวด้วยการปั่น Leukocyte-poor red cell (LPRC) 
เป็นส่วนประกอบโลหิตชนิดเม็ดเลือดแดงที่ขจัดเม็ดเลือดขาวออกไป ด้วยวิธีการปั้น (leudocyte removed by centrifugation) โดยจำนวนเม็ดเลือดขาวที่เหลืออยู่ต้องน้อยกว่า 1.2×109  เซลล์ต่อยูนิต และมีฮีโมโกลบินไม่น้อยกว่า 40 ก.ต่อยูนิต ฮีมาโตคริต 50-70% ความเสียงต่อโรคติดเชื้อ, การเก็บรักษา, วิธีการให้ เช่นเดียวกับ RBC
ข้อบ่งชี้ในการใช้ เช่นเดียวกับ RBC    ป้องกัน FNHTR ในผู้ป่วยที่เคยมีอาการไข้หนาวสั่นหลังรับโลหิต
 
4) เม็ดเลือดแดงที่ลดจำนวนเม็ดเลือดขาวด้วยการกรอง Leukocyte-depleted Red Cell (LD-RBC)
เป็นส่วนประกอบโลหิตชนิดเม็ดเลือดแดงที่ขจัดเม็ดเลือดขาวออกไปด้วยวิธีการกรอง (leukocyte filtration) โดยจำนวนเม็ดเลือดขาวที่เหลืออยู่ต้องน้อยกว่า 5.0 × 106 เซลล์ต่อยูนิต ตามมาตรฐานสหรัฐอเมริกา หรือ 1.0 × 106 เซลล์ต่อยูนิต ตามมาตรฐานยุโรป มีฮีโมโกลบิน ไม่น้อยกว่า 40 ก.ต่อยูนิต หรือ ฮีมาโตคริตไม่เกิน 80%ในกรณีที่ไม่ใส่สาร additive solution ความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อ เช่นเดียวกับ RBC แต่ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ CMV จากการรับโลหิตการเก็บรักษาและข้อบ่งขี้  เช่นเดียวกับ RBC โดยการใช้ LPRC จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่ต้องรับโลหิตเป็นประจำและมีปฏิกิริยาต่อการรับเม็ดเลือดขาว จึงจำเป็นต้องลดจำนวนเม็ดเลือดขาวในโลหิตที่ให้ และจะได้ผลดีต่อเมื่อใช้ leukocyte depleted blood ทุกยูนิต และส่วนประกอบโลหิตทุกชนิด ป้องกัน febrile non hemolytic transfusion reaction (FNHTR) ในผู้ป่วยที่เคยมีอาการไข้หนาวสั่นจากการรับโลหิต
หมายเหตุ ไม่ช่วยป้องกันภาวะ graft versus host disease (GVHD) การป้องกัน GVHD ต้องทำการยับยั้งการแบ่งตัวของเม็ดเลือดขาวชนิด lymphocyte ด้วยการฉายรังสีแกมมาที่ 25-30 Gy

5)Leukocyte Poor Pooled Platelets Concentrate, LPPC)
เป็นเกล็ดเลือดที่ได้จากการรวม buffy coat ของผู้บริจาคหมู่เดียวกันจำนวน 4-6 ยูนิต โดยมีพลาสมาหรือสารละลายที่ใช้เก็บรักษาเกล็ดเลือด 1 ยูนิต เป็นสารช่วยในการ pool แล้วนำมาปั่นแยกด้วยรอบการปั่นเบา แล้วเอาแต่เฉพาะส่วนที่เป็นพลาสมา ซึ่งมีเกล็ดเลือดอยู่ออก ส่วนที่ขจัดทิ้งไปคือเม็ดเลือดขาว LPPC 1 ยูนิต จะมีเกล็ดเลือดมากกว่า 2.4 ×1011 เซลล์/ยูนิต มีปริมาณเม็ดเลือดขาวไม่เกิน 5×108 เซลล์/ยูนิต เก็บรักษาในอุณหภูมิ 20-24°ซ.โดยการเขย่าเบาๆ ตลอดเวลา ขนส่งในอุณหภูมิ 20-24°ซ.                  
วิธีการให้  การให้ LPPC 1 ยูนิต จะประมาณ 1 adult therapeutic dose ใช้ชุดให้โลหิตมาตรฐานและควรเปลี่ยนชุดให้โลหิตทุกๆ LPPC 1 ยูนิต

6)เกล็ดเลือดที่เตรียมด้วยวิธี plateletpheresis (Single donor Platelet, SDP)
เป็นเกล็ดเลือดจากผู้บริจาคคนเดียวที่ได้จากการเจาะเก็บด้วยวิธี plateletpheresis ด้วยเครื่อง blood cell separator ซึ่งสามารถแยกเก็บเฉพาะเกล็ดเลือดอย่างเดียว มีส่วนประกอบดังนี้

  • ปริมาตรประมาณ 150-300 มล.
  • เซลล์เกล็ดเลือดอย่างน้อย 3-5 × 1011 ตัวต่อยูนิต เทียบเท่า PC 6-8ถุง
  • ปริมาณเม็ดเลือดขาวที่ปนเปื้อนขึ้นกับกระบวนการทำ plateletpheresis ของแต่ละชนิดผลิตภัณฑ์
  • หากชุดเจาะเก็บมีตัวกรองเม็ดเลือดขาวด้วย จะได้เป็น leukocyte depleted SDP ซึ่งจะมีม็ดเลือดขาวเหลืออยู่ไม่เกิน 1×106 เซลล์ต่อยูนิต ตามมาตรฐานยุโรป หรือ 5 × 106 เซลล์ต่อยูนิต ตามมาตรฐานสหรัฐอเมริกา
  • ปัจจุบันชุดเจาะเก็บ SDP หลายบริษัทมีกลไกภายในที่สามารถลดเม็ดเลือดขาวได้เท่ากับการกรองจะได้เป็น leukocyte depleted SDP เช่นกัน

การเก็บรักษา เก็บที่ตู้เกล็ดเลือดอุณหภูมิ 20-24°ซ. เขย่าตลอดเวลา มีอายุประมาณ 3-5 วัน (หรือตามที่ระบุในแต่ละผลิตภัณฑ์) ห้ามเก็บในตู้ 2 - 6°ซ.
ความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อ  มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อทางการรับโลหิตเช่นเดียวกับการรับส่วนประกอบโลหิตชนิดอื่นๆ แต่จะมี donor exposure น้อยกว่า

  • SDP ที่มีเม็ดเลือดขาวน้อย จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ CMV  เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่จะต้องได้รับเกล็ดเลือดจำนวนมาก หรืออย่างต่อเนื่อง เพราะการใช้ SDP จะลด exposure ต่อแอนติเจนของเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดจากผู้บริจาค จึงลดการเกิด platelet refractoriness จาก HLA และ HPA alloimmunization ผู้ป่วยบางรายจำเป็นต้องใช้เกล็ดเลือดจากผู้บริจาครายเดียวที่ทดสอบว่าเข้ากันได้เท่านั้น (matched SDP transfusion)
  • กรณีหมู่โลหิตหายาก เช่น Rh negative

ปริมาณการให้ SDP 1ถุง ที่มีจำนวนเกล็ดเลือดตามเกณฑ์ที่กล่าวข้างต้น เท่ากับ 1 adult therapeutic dose
วิธีการให้ เช่นเดียวกับ PC แต่การให้ตรงหมู่ ABO มีความสำคัญมาก เพราะ plateletpheresis มีพลาสมามาก anti-A และ/หรือ anti-B ในพลาสมาอาจทำให้เกิด hemolysis ในผู้ป่วยที่รับโลหิตได้

7)ไครโอปรีซิปิเตท, Cryoprecipitate (Cryo)
เป็นตะกอนโปรตีนที่เกิดจากการนำ FFP มาละลายที่ 4° ซ.แล้วบีบแยกส่วนพลาสมาเหนือตะกอนออกไปเป็น CRP ใน cryo 1 ถุงจะมี fibrinogen ประมาณ 150-300 มก./ยูนิต และ factor VIII ประมาณ 80-100 IU/ยูนิต อยู่ในพลาสมาประมาณ 10-20 มล.ความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อ มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับ WB
การเก็บรักษา    AABB เก็บที่ ≤-18 °ซ.ได้นาน 1 ปี /  WHO เก็บที่ ≤-25° ซ.ได้นาน 1 ปี
ข้อบ่งชี้ในการใช้

  • เพื่อทดแทน factor VIII ในผู้ป่วยที่ขาด ได้แก่  von Willebrand disease / Hemophilia A
  •  ขาด factor XIII
  •  เพื่อทดแทน fibrinogen เช่น ในภาวะ DIC

วิธีการให้  ก่อนให้ต้องละลายที่ 37 °ซ.แล้ว pool รวมกันด้วยวิธีปราศจากเชื้อ โดยใช้ normal saline ช่วยละลายและ pool จำนวนถุงที่นำมา pool จะคำนวณตามปริมาณ factor VIII ที่ต้องการให้แก่ผู้ป่วย ใช้ได้กับผู้ป่วยทุกหมู่ ABO (all ABO groups are acceptable) ไม่ต้องทำ compatibility test ก่อนให้  โดยหลังละลายแล้วให้ผู้ป่วยทันที หรือภายในไม่เกิน 6 ชม. โดยใช้ชุดให้โลหิตเช่นเดียวกับ WB หรือ RBC
 
8)พลาสมาที่แยกไครโอปรีซิปิเตทออกแล้ว, Cryo-removed plasma (CRP)
เป็นพลาสมาที่เหลือจากการแยกตะกอนโปรตีน Cryoprecipitate ออกไปแล้วจึงเหลือ factor VIII และ fibrinogen เพียงบางส่วนของเริ่มต้น แต่ยังคงมีปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดและส่วนประกอบอื่นๆอยู่
ความเสี่งต่อโรคติดเชื้อ, การเก็บรักษา, ขนาดและวิธีการ เช่นเดียวกับ FFP
ข้อบ่งชี้ในการใช้

  • ทดแทน multiple coagulation factors ในรายที่ไม่ต้องการ factor V, VIII และ fibrinogen

 
**ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ต่างๆที่งานธนาคารเลือด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ มีบริการดังที่กล่าวมาแล้ว 
.........................................................................................................................................................
 
เรียบเรียงโดย  ดร.ทนพญ.ณิชชา ไพรัตน์ **

แชร์ส่งให้เพื่อน
งานธนาคารเลือด
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
02-926-9999
Copyright © 2025-2026 All rights reserved.
ทั้งหมด
493975
ออนไลน์
7